ผักและผลไม้เป็นแหล่งที่ดีที่สุดสำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ อาหารที่อุดมไปด้วยผักและผลไม้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด ผู้ที่บริโภคผักและผลไม้มากเป็นประจำจะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของคนที่บริโภคผักและผลไม้น้อย แต่ในมื้ออาหารของผู้คนในปัจจุบันมักขาดผักและผลไม้หรือมีไม่เพียงพอในระดับที่จะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย สารสกัดเข้มข้นจากผักและผลไม้ชนิดต่างๆ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเติมเต็มไฟโตนิวเทรียนท์เพื่อดูแลสุขภาพด้านต่างๆ มากมาย
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์โดยสถาบันสุขภาพนิวทริไลท์เกี่ยวกับไฟโตนิวเทรียนท์จากผักและผลไม้รวมเข้มข้นที่น่าสนใจ
1. ชาเขียวและสารอีจีซีจี (EGCG) ในชาเขียว ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด
- การดื่มชาเขียวเพิ่มขึ้นช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้
- ยับยั้งเซลล์มะเร็งปอดในระยะแรกของโรคมะเร็งปอด
- หยุดยั้งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายเซลล์มะเร็งในช่องปาก
- ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม
- จากการศึกษาทดลองในประเทศจีนพบว่า การบริโภคชาเขียวประมาณ 4-5 ถ้วยต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสำไส้และมะเร็งตับ
- สารอีจีซีจียังช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ รวมทั้งลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือดจำพวกโคเลสเตอรอลและไตรกรีเซอไรด์
2. เควอซิทิน (Quercetin)
เป็นสารไฟโตนิวเทรียนท์ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ พบมากในหัวหอม หอมแดง และพืชตระกูลถั่วจากประเทศบราซิล เช่น ฟาวา ดังทา (Fava d’ anta) ให้ฤทธิ์ในการต้านออกซิเดชันสูงที่สุด จึงช่วยป้องกันการอักเสบ ป้องกันแบคทีเรีย และไวรัส และช่วยป้องกันอาการแพ้ ประโยชน์ของเควอซิทิน ได้แก่
- ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ เนื่องจากเควอซิทินให้ฤทธิ์ในการป้องกันการแข็งตัวของเลือด ป้องกันการเกิดออกซิเดชันในหลอดเลือด และป้องกันหลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน การรับประทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยเควอซิทินในปริมาณสูงจึงช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น เควอซิทินถือว่าเป็นไฟโตนิวเทรียนท์ที่ปกป้องหลอดเลือด (vasoprotective) และช่วยในการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยให้ระบบการไหลเวียนและการทำงานหัวใจดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคลมชักในระยะแรกในผู้ป่วยสูงอายุได้
- ยับยั้งและหยุดการขยายตัวของเซลล์เต้านมที่ผิดปกติ
- ยับยั้งและลดการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกในลำไส้
3. กรดเอลลาจิก (Ellgic Acid)
ที่พบในสารสกัดจากทับทิม มีประโยชน์ดังนี้
- ลดการทำลายดีเอ็นเอที่จะทำให้เกิดโรคเรื้อรัง ทำให้เกิดภาวะแก่ขึ้น (Ageing) และเป็นโรคมะเร็ง
- ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์บางชนิดซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดีเอ็นเอในเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะของมนุษย์ กรดเอลลาจิกในปริมาณที่มากขึ้นจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในขอบเขตที่มากขึ้นได้
- หยุดการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการแบ่งเซลล์ในเซลล์มะเร็งปากมดลูก และยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในตับ หลอดอาหาร และปอด
4. เฮสเพอริดิน (Hesperidin)
ที่พบในสารสกัดจากส้ม ช่วยเสริมสร้างสุขภาพดังนี้
- ช่วยบำรุงหลอดเลือดดำให้แข็งแรง โดยเฉพาะเฮสเพอริดินที่รวมกับฟลาโวนอยด์จากผลไม้จำพวกส้ม เช่น ไดออสมิน (Diosmin) มีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของเส้นเลือดขอดและริดสีดวงทวาร
- ช่วยสนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ
- ยับยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น เยื่อบุผิวลิ้น เซลล์ลำไส้ใหญ่ เซลล์เนื้องอกเต้านม เป็นต้น
- ลดระดับพลาสมาโคเลสเตอรอล
- การดื่มน้ำส้มถึง 3 แก้วต่อวัน จะเพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL) ได้ถึง 21% และลดระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
5. สารลูทีน (Lutein)
ในสารสกัดจากดอกดาวเรือง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ พบได้ทั่วไปในผักใบเขียวและมีส่วนสำคัญในการบำรุงสายตา โมเลกุลของลูทีนพบในปริมาณสูงในจุดของดวงตา โดยเฉพาะพื้นที่ของเรตินาที่เกี่ยวกับการรับภาพ ระดับลูทีน 2.0 – 6.9 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดด่างในดวงตา ลดความเสี่ยงต่อการมองไม่ชัดในเวลากลางคืน
สารลูทีนจะช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระในการป้องกันเยื่อแก้วตา (retina)
- ช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม การได้รับลูทีนและซีซานทีน (zeaxanthin) ในอัตราสูงจะช่วยลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมอย่างเฉียบพลันตามอายุได้
- ผู้ที่ได้รับลูทีนในระดับสูงที่สุดจะเป็นต้อกระจกในอัตราที่ต่ำกว่าผู้ที่ไม่รับประทานลูทีนจากผักและผลไม้เลย
สารลูทีนอาจช่วยป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งสำไส้ และมะเร็งเต้านม
- การรับประทานสารลูทีนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
- การรับประทานผักที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ซึ่งประกอบด้วยลูทีนในปริมาณสูงจะช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม สำหรับสตรีที่มีประวัติว่ามีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านม
6. ไลโคปีน (Lycopene)
ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งหลายๆ ชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย
- ผู้เข้ารับการทดสอบที่รับประทานมะเขือเทศในปริมาณสูงที่สุด 10 ครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่รับประทานน้อยกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์ การรับประทานมะเขือเทศในอัตราสูงจะช่วยลดอัตราการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากทุกประเภทได้ถึง 35% และลดความรุนแรงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก 53%
- สารสกัดจากมะเขือเทศที่ประกอบด้วยไลโคปีน 30 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยลดการเจริญเติบโตของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในคนไข้ภายหลังจากการรักษาโรคมาแล้ว 3 สัปดาห์
- ไลโคปีนช่วยป้องกันโรคมะเร็งรังไข่ในสตรี (โดยเฉพาะในสตรีวัยก่อนหมดประจำเดือน) ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก โดยจะลดการเกิดเนื้องอกและยับยั้งการพัฒนาวงจรชีวิตของเซลล์ในช่วงต้นของการเกิดเซลล์มะเร็ง(ระยะ G1)
- ไลโคปีนยังช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ การได้รับไลโคปีนในปริมาณที่สูงช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด และลดความรุนแรงของการเผาไหม้ของผิวหนังจากแสงอาทิตย์
ใครบ้างควรรับประทานสารสกัดผักและผลไม้รวมเข้มข้นเป็นประจำทุกวัน
- ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการได้รับอนุมูลอิสระเป็นประจำ เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่
- ผู้ที่อยู่ในสภาพมลภาวะเป็นพิษ
- ผู้ที่มีพฤติกรรมชอบรับประทานอาหารจำพวกบาร์บีคิว ปิ้ง ย่าง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย